วันนี้ (4 ธันวาคม 2556) ผมพยายามค้นหาภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในหลวงของพวกเรา จาก Google เพื่อจะนำภาพของพระองค์ท่าน มาเขียนคำถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ.2556 ในนามข้าราชการในหน่วยงานของผมเอง ผมพยายามค้นหาภาพที่พระองค์ท่านในขณะเสด็จพระราชดำเนินไปในผืนป่าทุรกันดารต่างๆ จะได้เป็นการสอนลูกน้องทางอ้อมไปในตัวด้วย เพราะงานของพวกเราก็ต้องเดินทางไปในผืนป่าทั่วประเทศไทยเพื่อหาทุ่นระเบิดเช่นกัน เวลาพวกเราออกราชการสนามไปทำงานจะได้มีแรงบันดาลใจและกำลังใจนึกถึงเสมอว่า "ขนาดพระองค์ท่าน เป็นถึงพระมหากษัตริย์ พระองค์ท่านก็ทรงไม่ย่อท้อต่อความลำบาก พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปทุกหนแห่งเพื่อช่วยเหลือราษฎรของพระองค์" แล้วตัวพวกเราเป็นใครกันเล่า ที่คิดจะขี้คร้านทำราชการให้แก่แผ่นดิน
ในหลวงในดงทาก
ผมค้นข้อมูลไปมาจนไปพบบทความหนึ่งที่ชื่อว่า "ในหลวงในดงทาก" จากเว็บไซต์เด็กดีดอทคอม (http://www.dek-d.com/board/view/1700695/) เลยขอนำมาเผยแพร่ไว้ในบล็อกนี้อีกแห่งหนึ่ง เพื่อพวกเราหลายๆ คนจะได้ทราบว่า พระองค์ท่านทรงยากลำบากเพียงใดบ้าง
*************************
20 กันยายน 2528 วันนี้เป็นวันฝนตกพรำมาจากเช้าจวบบ่าย ไม่มีทีท่าจะเลิกรา หนาบ้าง บางบ้าง สลับเป็นสายไล่เลียง ลีลาเหมือนม่านฟ้าสีขาว เป็นฉากกั้นขุนเขาที่แลเห็นอยู่ลับลิบ
ในป่ายางหนาวเย็น ที่ลึกซอกซอนและซ่อนตัว ณ บ้านตามุง หมู่ที่ 4 ตำบลเชิงคีรี อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส แห่งนี้
ทันทีที่รถพระที่นั่ง แวกอนเนียร์ ซึ่งทรงขับด้วยพระองค์เองจอดสนิทบนทางดินเล็กๆ ข้างป่ายาง ซึ่งเป็นทางเดิน มิใช่ทางรถ ฝนก็กระหน่ำลงมา ประหนึ่งจะขอรับเสด็จด้วย ผืนแผ่นดินที่เปียกแฉะฉ่ำชื่นอยู่แล้วก็แปรสภาพเสมือนทะเลโคลนย่อมๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฉลองพระองค์ชุดเสื้อกันฝน ทรงนำคณะเจ้าหน้าที่บุกฝ่าเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นป่าสลับกับสวนยาง ท่ามกลางเม็ดฝนใสที่กระทบยอดไม้และใบหญ้าดังกรูเกรียว ในสภาพที่หนาวเย็น พื้นดินเป็นโคลนตม และสัญจรเข้าไปได้ยากเย็นยิ่งนักเช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทนำหน้าคณะเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนผู้ติดตามและข้าราชบริพารเดินตามแทบไม่ทัน บางคนต้องวิ่งเยาะ บางคนลื่นไถล และเมื่อหนทางวิบากนี้ไกลขึ้นๆ บางคนต้องหยุดพักเหนื่อยและหลบฝนอยู่ใต้ร่มไม้ที่แข็งแรงพอซึ่งมีอยู่เพียง ส่วนน้อยใครที่แข็งแรงก็ตามต่อไปกระชั้นชิด ทั้งที่เหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเข้า ไปในป่ายางท่ามกลางฝนตกหนัก โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทไปไม่ห่าง เป็นระยะทางถึง 2 กิโลเมตรเศษ ตามภาพที่เกริ่นกล่าวในเบื้องต้น นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดาในความรู้สึกของผู้คน และความไม่สามัญธรรมดานี้ก็ยิ่งไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ เนื่องเพราะบริเวณนี้คือ ดงทาก หรือ รังทาก อันมีทากชุกชุมที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ และด้วยเหตุอันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงดังกล่าวการบุกเข้าไปใน ดงทาก ท่ามกลางสภาพการณ์เช่นนี้จึงไม่ต่างกับการเข้าไปสงครามในดงทาก เพียงเห็นบรรดาทากห้อยหัวยั้วเยี้ยบนก้านกิ่งและใบไม้ อีกบนพื้นหญ้าแฉะชื้นก็ชูคอสลอนดังใบหญ้าโอนเอนแล้ว ที่หนาวกายเพราะสายฝนก็กลับหนาวเข้าไปถึงหัวใจ กว่าจะถึงจุดหมาย คือบริเวณพื้นที่ที่จะพิจารณาสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อให้มีน้ำไว้ใช้ สำหรับพื้นที่ 5,000 ไร่ ใน 3 เขตตำบล คือ เชิงคีรี มะยูง และรือเสาะ เกือบทุกคนก็โชกฝนและโชกเลือด แม้ทูลกระหม่อมทั้ง 2 พระองค์ก็มิได้ยกเว้น
ค่ำวันนั้นระหว่างเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์อากาศปรายฤดูฝนกำลังสบาย ดวงดาวบนท้องฟ้าเริ่มจะปรายแสง ขบวนรถยนต์พระที่นั่งได้หยุดลงอย่างกระทันหันโดยไม่ทราบถึงสาเหตุบนทางหลวง ที่มืดสงัดเป็นเวลาหลายนาที ถามไถ่ได้ความภายหลังว่า ยังมีทากหลงเหลือกัดติดพระวรกายอยู่อีก เมื่อรู้สึกพระองค์จึงได้ทรงหยุดรถพระที่นั่งรับสั่งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ช่วยจับทากที่ตัวเป่งด้วยพระโลหิตออกจากพระวรกาย
ทรงเรียกการทรงงานวิบากที่เชิงคีรีครั้งนี้ในภายหลังว่า "สงครามกับตัวยึกยือที่เชิงคีรี"
*****************************