ผมบันทึกการเดินทางของผมไว้ใน GPS คู่ใจมาโดยตลอด สำหรับในปีงบประมาณ 2558 (ต.ค.2557-ก.ย.2558) ที่ผ่านมานี้พอจะสรุปได้ว่า ผมและเพื่อนร่วมงาน ได้เดินทางไปราชการเพื่อ "ตรวจสอบและประเมินผลพื้นที่ปลอดภัยจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย" รวมระยะทางแล้ว 24,469 กิโลเมตร ความสูงจากระดับน้ำทะเลที่เคยขึ้นสูงสุด คือ 2,534 เมตร
การเดินทางในครั้งนี้ พวกเราเหยียบย่ำผืนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทยตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาร์ ไทย-ลาว และไทย-กัมพูชา ครอบคลุมทั้งภาคเหนือ ภาคอิสาน ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก รวมแล้วเกินกว่า 12 จังหวัด ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง เพื่อพิสูจน์ทราบว่า "ทุ่นระเบิดที่เคยถูกฝังไว้จากการสู้รบในอดีต ได้ถูกหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม (นปท.) ที่ 1-4 และหน่วยงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดภาคเอกชน (NGO) ค้นหา เก็บกู้ และทำลายมันหมดสิ้นแล้ว จริงหรือปล่าว!" ก่อนที่จะส่งมอบพื้นที่คืนให้แก่ราษฎรเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
สิ่งที่ผมพบ....
การเดินทาง คือ การเรียนรู้ของชีวิต น่าจะเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง การเดินทางครั้งนี้ ผมได้พบเห็นเรื่องราวมากมายหลายประการ เล่าให้ฟังอาจไม่รู้จบ จึงขอนำเรื่องราวบางส่วนที่ไปพบเห็นมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
ความเสี่ยงภัยของเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่ของ นปท.1-4 และ NGO ที่ปฏิบัติงานค้นหา เก็บกู้ และทำลายทุ่นระเบิด ต้องเผชิญกับความเสี่ยงภัยในชีวิตอยู่เสมอในขณะที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่เพื่อทำการแกะลอยหาเจ้าทุ่นระเบิด ซึ่งมันพร้อมที่ฆ่าชีวิตผู้คนไม่เลือกหน้าได้ตลอดเวลา ท่ามกลางสภาพภูมิประเทศที่ทุรกันดาร ห่างไกล ไม่มีเส้นทางหรือถนนเข้าถึง บางพื้นที่เป็นภูเขาสูงชัน สลับกับป่ารกทึบ แม้ว่าแต่ละคนจะได้รับค่าเสี่ยงอันตรายตอบแทนเป็นพิเศษก็ตาม แต่ในทุกๆ ครั้งที่ออกปฏิบัติงาน ความกลัวก็ยังคงครอบงำและฝังอยู่ในรากลึกของจิตใจตลอดเวลา ส่วนบุคคลพลเรือนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของ NGO ยิ่งต้องนับถือ ได้แค่เงินตอบแทนเดือนละหมื่นกว่าบาท ไม่มีค่าเสี่ยงภัยอันตรายเพิ่มเติมแต่อย่างใด แม้แต่เงินค่าประกันอุบัติเหตุจากภัยจากทุ่นระเบิดโดยตรงก็ยังไม่มีด้วยซ้ำไป
#ผู้ปิดทองหลังองค์พระจริงๆ
ทุ่นระเบิดที่ค้นพบ
การเดินทางในครั้งนี้ พวกเราเหยียบย่ำผืนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทยตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาร์ ไทย-ลาว และไทย-กัมพูชา ครอบคลุมทั้งภาคเหนือ ภาคอิสาน ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก รวมแล้วเกินกว่า 12 จังหวัด ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง เพื่อพิสูจน์ทราบว่า "ทุ่นระเบิดที่เคยถูกฝังไว้จากการสู้รบในอดีต ได้ถูกหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม (นปท.) ที่ 1-4 และหน่วยงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดภาคเอกชน (NGO) ค้นหา เก็บกู้ และทำลายมันหมดสิ้นแล้ว จริงหรือปล่าว!" ก่อนที่จะส่งมอบพื้นที่คืนให้แก่ราษฎรเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป
สิ่งที่ผมพบ....
การเดินทาง คือ การเรียนรู้ของชีวิต น่าจะเป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง การเดินทางครั้งนี้ ผมได้พบเห็นเรื่องราวมากมายหลายประการ เล่าให้ฟังอาจไม่รู้จบ จึงขอนำเรื่องราวบางส่วนที่ไปพบเห็นมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
ความเสี่ยงภัยของเจ้าหน้าที่
เจ้าหน้าที่ของ นปท.1-4 และ NGO ที่ปฏิบัติงานค้นหา เก็บกู้ และทำลายทุ่นระเบิด ต้องเผชิญกับความเสี่ยงภัยในชีวิตอยู่เสมอในขณะที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่เพื่อทำการแกะลอยหาเจ้าทุ่นระเบิด ซึ่งมันพร้อมที่ฆ่าชีวิตผู้คนไม่เลือกหน้าได้ตลอดเวลา ท่ามกลางสภาพภูมิประเทศที่ทุรกันดาร ห่างไกล ไม่มีเส้นทางหรือถนนเข้าถึง บางพื้นที่เป็นภูเขาสูงชัน สลับกับป่ารกทึบ แม้ว่าแต่ละคนจะได้รับค่าเสี่ยงอันตรายตอบแทนเป็นพิเศษก็ตาม แต่ในทุกๆ ครั้งที่ออกปฏิบัติงาน ความกลัวก็ยังคงครอบงำและฝังอยู่ในรากลึกของจิตใจตลอดเวลา ส่วนบุคคลพลเรือนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของ NGO ยิ่งต้องนับถือ ได้แค่เงินตอบแทนเดือนละหมื่นกว่าบาท ไม่มีค่าเสี่ยงภัยอันตรายเพิ่มเติมแต่อย่างใด แม้แต่เงินค่าประกันอุบัติเหตุจากภัยจากทุ่นระเบิดโดยตรงก็ยังไม่มีด้วยซ้ำไป
#ผู้ปิดทองหลังองค์พระจริงๆ
ในปีงบประมาณ 2558 พวก HDO THAILAND (เหล่าผู้คนที่ปฏิบัติการค้นหา เก็บกู้ และทำลายทุ่นระเบิดในประเทศไทย) ทั้งหลาย ทั้ง นปท.1-4, สมาคมผู้เก็บกู้ทุ่นระเบิดพลเรือนไทย(TDA) และ มูลนิธิถนนแห่งสันติภาพ (PRO) ค้นพบในปีนี้ รวมกันแล้วเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (AP) จำนวน 5,861 ทุ่น ทุ่นระเบิดดักรถถัง (AT) 23 ทุ่น ลูกระเบิดที่ไม่ระเบิด (UXO) 3,905 นัด และ กับระเบิดแสวงเครื่อง (IED) 70 ชุด
#เรื่องราวของทุ่นระเบิดที่ตกค้างอยู่ในแผ่นดินไทยยังมีอยู่จริงครับ! พวกเราพิสูจน์ให้เห็นแล้ว
ทดสอบจิตใจและร่างกาย
วิถีชีวิตและเรื่องราวสองข้างทาง
การเดินทางไปจังหวัดต่างๆ ที่ผ่านมา ผมถือว่าโชคดีที่ได้พบเรื่องราวของวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ประเพณีและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่ชาวเขาเผ่าต่างๆ ชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน แรงงานต่างด้าว กองกำลังทหารเมียนมาร์ ว้า ไทยใหญ่ พบเห็นตั้งแต่ชาวชนบทยันชาวเมือง ทำให้รู้สึกว่าคนไทยยังมีความแตกต่างกันอยู่มาก หลายคนขาดแม้โอกาสที่จะดำรงชีวิตให้ผาสุกได้ แต่หลายคนกลับมีโอกาสเพียบพร้อม ในแต่ละแห่งแต่ละพื้นที่ได้ลองลิ้มชิมรสอาหารพื้นเมืองที่แตกต่างกันไป ได้แวะเทียวสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ได้นอนบ้านพัก รีสอร์ท โรงแรม ตั้งไม่มีดาวยันห้าดาว ได้แวะซื้อของฝากของที่ระลึกเกือบทุกจังหวัด ปั๊มน้ำมันทุกปั๊ม ร้านอาหารสองข้างทาง ถูกบันทึกเอาไว้หมดใน GPS คู่ใจของผม
#ช่างเป็นช่วงเวลาที่สวยงามจริงๆ
ผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด
ในปีนี้ ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด ถึง 15 คน มีทั้งชาวไทย ชาวกะเหรี่ยง และชาวกัมพูชา ซึ่งคนเหล่านี้ส่วนใหญ่พิการขาขาดจากการเหยียบทุ่นระเบิด ผมและคณะได้ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบตามสมควร ชีวิตคนบางคนรันทดยิ่งกว่าละครอีกครับ เล่นเอาผมน้ำตาซึมเลย...
การเยี่ยมผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในปีนี้ "กองทุน HDO THAILAND เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด" ได้มอบเงินดำรงชีพยามจำเป็นให้พวกเขาเหล่านี้รวมแล้วถึง 18,520 บาท ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
#รู้สึกได้บุญในกิจกรรมนี้มาก
เรื่องราวการเดินทาง 1 ปี 24,469 กิโลเมตรของผมนี้ ยังคงมีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่สามารถเล่าได้จบในที่นี้ แต่ความทรงจำดีดีทั้งหมดที่มีกับเพื่อนร่วมงานทุกคน ร่วมทั้งพี่น้อง HDO ทั้งหลายยังอยู่ในใจของผมตลอดไป
#เรื่องราวของทุ่นระเบิดที่ตกค้างอยู่ในแผ่นดินไทยยังมีอยู่จริงครับ! พวกเราพิสูจน์ให้เห็นแล้ว
พื้นที่อันตรายที่ต้องสงสัยว่ามีทุ่นระเบิด ที่ผมไปเยือนมาในปีนี้ มีความยากลำบากขั้นเทพเลยครับ บางพื้นที่ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ แล้วเดินทางต่อไปด้วยเท้า บุกป่าฝ่าดง มีทั้งป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ และป่ารกทึบ บางพื้นที่ต้องฝ่าทั้งลำห้วย ลำธารและสายน้ำ บางพื้นที่ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าเข้าพื้นที่นานกว่า 8 ชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือต้องเดินบนสันดอยที่สูงชัน ความสูงจากระดับนำทะเลที่ผมขึ้นสูงสุดคือ 2,534 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ผมและทีมงานเดินทางไปตรวจสอบเพื่อประเมินผลพื้นที่ใช้เวลาแค่หนึ่งวัน กลับมาขาแข็งก็ปวดเมื่อย ระบมไปทั้งตัวอยู่หลายวัน สงสารแต่เจ้าหน้าที่ นปท.และ NGO ครับ! ที่ต้องเดินทางเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ยากลำบากเหล่านี้เป็นเวลาแรมเดือน กว่าจะค้นหาทุ่นระเบิดได้พบ บางพื้นที่ถึงขั้นต้องนอนพักค้างแรมบนยอดดอย 3-4 วัน เพราะเดินทางไป-กลับไม่ไหว นับว่าเป็นการทำงานที่ต้องมีความอดทนขั้นสูงสุด ร่างกายต้องมีความพร้อมสมบูรณ์ นอกจากนั้นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการค้นหา เก็บกู้ และทำลายทุ่นระเบิดอีกด้วย
#HDO THAILAND จึงถือว่าเป็นผู้ที่มีความอดทน เสียสละสูง และต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับทุ่นระเบิด มีความเป็นมืออาชีพ เพราะงานที่ทำจะประมาทไม่ได้ หากพลาดมันเหมายถึงชีวิตของตัวเอง
ผมและทีมงานเดินทางไปตรวจสอบเพื่อประเมินผลพื้นที่ใช้เวลาแค่หนึ่งวัน กลับมาขาแข็งก็ปวดเมื่อย ระบมไปทั้งตัวอยู่หลายวัน สงสารแต่เจ้าหน้าที่ นปท.และ NGO ครับ! ที่ต้องเดินทางเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ที่ยากลำบากเหล่านี้เป็นเวลาแรมเดือน กว่าจะค้นหาทุ่นระเบิดได้พบ บางพื้นที่ถึงขั้นต้องนอนพักค้างแรมบนยอดดอย 3-4 วัน เพราะเดินทางไป-กลับไม่ไหว นับว่าเป็นการทำงานที่ต้องมีความอดทนขั้นสูงสุด ร่างกายต้องมีความพร้อมสมบูรณ์ นอกจากนั้นต้องมีความรู้เกี่ยวกับการค้นหา เก็บกู้ และทำลายทุ่นระเบิดอีกด้วย
#HDO THAILAND จึงถือว่าเป็นผู้ที่มีความอดทน เสียสละสูง และต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับทุ่นระเบิด มีความเป็นมืออาชีพ เพราะงานที่ทำจะประมาทไม่ได้ หากพลาดมันเหมายถึงชีวิตของตัวเอง
การเดินทางไปจังหวัดต่างๆ ที่ผ่านมา ผมถือว่าโชคดีที่ได้พบเรื่องราวของวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ประเพณีและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่ชาวเขาเผ่าต่างๆ ชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน แรงงานต่างด้าว กองกำลังทหารเมียนมาร์ ว้า ไทยใหญ่ พบเห็นตั้งแต่ชาวชนบทยันชาวเมือง ทำให้รู้สึกว่าคนไทยยังมีความแตกต่างกันอยู่มาก หลายคนขาดแม้โอกาสที่จะดำรงชีวิตให้ผาสุกได้ แต่หลายคนกลับมีโอกาสเพียบพร้อม ในแต่ละแห่งแต่ละพื้นที่ได้ลองลิ้มชิมรสอาหารพื้นเมืองที่แตกต่างกันไป ได้แวะเทียวสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ได้นอนบ้านพัก รีสอร์ท โรงแรม ตั้งไม่มีดาวยันห้าดาว ได้แวะซื้อของฝากของที่ระลึกเกือบทุกจังหวัด ปั๊มน้ำมันทุกปั๊ม ร้านอาหารสองข้างทาง ถูกบันทึกเอาไว้หมดใน GPS คู่ใจของผม
#ช่างเป็นช่วงเวลาที่สวยงามจริงๆ
ในปีนี้ ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด ถึง 15 คน มีทั้งชาวไทย ชาวกะเหรี่ยง และชาวกัมพูชา ซึ่งคนเหล่านี้ส่วนใหญ่พิการขาขาดจากการเหยียบทุ่นระเบิด ผมและคณะได้ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบตามสมควร ชีวิตคนบางคนรันทดยิ่งกว่าละครอีกครับ เล่นเอาผมน้ำตาซึมเลย...
การเยี่ยมผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในปีนี้ "กองทุน HDO THAILAND เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิด" ได้มอบเงินดำรงชีพยามจำเป็นให้พวกเขาเหล่านี้รวมแล้วถึง 18,520 บาท ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
#รู้สึกได้บุญในกิจกรรมนี้มาก
#นึกถึงทีไร ก็รู้สึกมีความสุขทุกที
ในปีนี้ ผมได้รับการย้ายมาดำรงตำแหน่ง หัวหน้าส่วนนโยบายและแผน ของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ผมรู้สึกใจหายครับ เพราะผมคงไม่ได้เดินทางแบบเดิมอีกแล้ว คงไม่ได้สัมผัสกับขุนเขา แมกไม้ สายน้ำ ผู้คน และพี่น้อง HDO THAILAND อย่างที่ผมชอบอีกต่อไป คงต้องวุ่นวายอยู่กับงานหนังสือและพิธีกรรมต่างๆ ที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายและแผนของผู้บังคับบัญชาชั้นสูงต่อไป
#รู้สึกใจหายครับ
#รู้สึกใจหายครับ
*********************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น